9 มุกของม…

9 มุกของมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงิน

  1. หลอกให้รักแล้วให้โอนเงิน มิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นๆ ด้วยการใช้รูปโปรไฟล์คนหน้าตาดี หรือน่าเชื่อถือ ผ่านการติดต่อจาก Social media ต่างๆ เช่น Facebook, Instragram หรือ Twitter เป็นต้น คุยติดต่อให้เหยื่อไว้ใจแล้วหลอกให้โอนเงิน หรือส่งของให้

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… จำไว้เสมอว่าการหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพนี้ ส่วนใหญ่จะหลอกให้เหยื่อโอนเงินผ่านบริการโอนเงินที่ผู้รับสามารถรับเงินได้โดยไม่ต้องมีเอกสารแสดงตัวตนใดๆ เพราะจะได้ยากต่อการติดตาม และในส่วนของการอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการใดๆ ก็ตามนั้น ให้สังเกตว่าส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่จะไม่ติดต่อกับประชาชนโดยตรง แต่หากมีการติดต่อจากเจ้าหน้าที่จริงๆ ก็จะดำเนินการโดยมีเอกสารหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร และเราควรมีการตรวจสอบไปยังหน่วยงานนั้นๆ โดยตรงก่อนที่จะดำเนินการโอนเงินกลับ
  1. อ้างเป็นคนรู้จัก มิจฉาชีพจะใช้ความสัมพันธ์ในการเป็นครอบครัวใหญ่ของคนไทย ด้วยการเป็นญาติ พี่น้อง หรือเพื่อน มาหลอกลวงให้โอนเงินให้ โดยการใช้ Social Network

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… เมื่อได้รับข้อความจากช่องทางโซเชียลมีเดีย ต่างๆ ในลักษณะการขอยืมเงิน หรือขอให้โอนเงิน ทางที่ดีเราควรโทรฯ เช็กเพื่อยืนยันตัวตนให้ชัดเจนก่อน และควรเข้าไปดูหน้า feed เพื่อพิจารณาลักษณะการโพสต์ และหากยิ่งเป็นญาติพี่น้อง หรือเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วอยู่ๆ ทักมา ยิ่งต้องระวังไว้ให้ดี
  1. หลอกให้ลงทุน มิจฉาชีพจะหลอกลวงมาในรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่” เป็นส่วนใหญ่ ด้วยการเชิญชวนให้หารายได้เสริมที่มีรายได้ดี แต่ไม่ต้องทำงานหนัก จูงใจด้วยการใช้จิตวิทยาโน้มน้าวให้เหยื่อสมัครเป็นสมาชิก และหาสมาชิกรายอื่นๆ เพิ่ม

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… เมื่อมีการชักชวนในลักษณะนี้เกิดขึ้น ให้เราศึกษาที่มาที่ไปของธุรกิจนี้ให้ดีก่อน และดูว่าธุรกิจที่จะลงทุนนี้มีใบขออนุญาตทำธุรกิจจริงหรือไม่ ที่สำคัญคือเราไม่ควรไว้ใจหรือเกรงใจใครจนไม่กล้าปฏิเสธ แม้ว่าคนที่ชวนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวก็ตาม และควรหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับกลุ่มธุรกิจที่ไม่แน่ใจ เพราะคนกลุ่มนี้จะใช้จิตวิทยาหว่านล้อมจนทำให้เรายากที่จะทำการปฏิเสธ
  1. อ้างช่วยเรื่องสินเชื่อได้ มิจฉาชีพจะอ้างกับเหยื่อว่าสามารถเจรจากับเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดีได้ แต่ขอให้เหยื่อจ่ายค่าจ้างในการเจรจาก่อนจึงจะไปเจรจาให้

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… ส่วนใหญ่พวกที่เป็นมิจฉาชีพนี้จะร้องขอค่านายหน้าก่อนที่จะช่วยเหลือเหยื่อ เพราะจริงๆ แล้วมิจฉาชีพไม่สามารถช่วยเหลือเหยื่อได้ นอกจากนี้ สถาบันการเงินมีเงื่อนไขและเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่จะขอกู้ได้จะต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนด
  1. ขโมย หรือปลอมแปลงบัตรเครดิต / เดบิต / ATM มิจฉาชีพต้องการข้อมูลจากบัตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นเลขที่บัตร รหัส และข้อมูลในส่วนต่างบนบัตร หรือแม้แต่การเอาบัตรนั้นๆ มาเอาเงินจากบัญชีเราออกไป ซึ่งอาจจะด้วยการขโมยบัตร หรือใช้การขโมยข้อมูลในแถบแม่เหล็ก ที่เรียกว่า “Skimmer”

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… หลีกเลี่ยงการใช้บัตรกับตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในสถานที่เปลี่ยว หรือหากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ให้สังเกตว่าตู้เอทีเอ็มมีลักษณะผิดปกติหรือไม่ และถ้าใช้บัตรในการชำระค่าสินค้าและบริการ ก็ให้เราไปอยู่ในบริเวณที่มองเห็นการทำรายการ เพื่อป้องกันพนักงานนำบัตรไปรูดกับเครื่องคัดลอกข้อมูล และควรหลีกเลี่ยงการใช้บัตรกับร้านค้าที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตได้ เช่น ปั๊มน้ำมัน หรือสถานบันเทิง เป็นต้น เคล็ดลับเล็กๆ สำหรับการป้องกันการนำข้อมูลบนบัตรไปใช้ก็คือ ติดสติ๊กเกอร์ปิดเลขรหัส CVV ด้านหลังบัตรไว้เสมอ
  1. ลวงล้วงข้อมูลส่วนตัว มิจฉาชีพที่มาลวงล้วงข้อมูลส่วนตัวนี้ส่วนใหญ่จะทำงานกันเป็นทีมหรือเป็นขบวนการ ด้วยการเริ่มติดต่อเข้ามาโดยใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติ แอบอ้างตัวเองเป็นหน่วนงานโน่นนี่นั่น แล้วสร้างสถานการณ์ให้เหยื่อตกใจโดยอ้างถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายของเหยื่อ หรือใช้จุดอ่อนจากความกลัวมาเป็นมุกในการหลอกลวง

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจเลยคือ จะไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วนงานใดๆ แจ้งขอข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์หรือโซเชียลมีเดียใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเจอกรณีแบบนี้ให้สงสัยได้ทันทีว่ากำลังถูกหลอกลวงแน่นอน เพราะฉะนั้นก็อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น และหลังจากนั้นก็ทำการตรวจสอบโดยโทรกลับไปสอบถามหรือไปแจ้งที่ธนาคารโดยตรง
  1. อ้างว่าแลกกับเงินก้อนโต มิจฉาชีพจะใช้ความโลภที่ทุกคนมี มาใช้หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อนำเงินจำนวนน้อยกว่ามาแลกกับเงินหรือรางวัลที่จะได้รับมากกว่า

    วิธีสังเกต และป้องกัน… เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้อย่าเพิ่งหลงเชื่อและเอาเงินให้กับมิจฉาชีพเหล่านี้ เราควรตรวจสอบหมายเลขที่กำกับอยู่ในลอตเตอรี่หรือเอกสารนั้นๆ ก่อนว่า เป็นของจริงหรือไม่ และควรคิดไว้เสมอว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปได้ยากเพราะถ้ามีการถูกรางวัลจริงๆ คนเหล่านี้มักจะไม่มาบอกเราแน่นอน
  1. ร้านค้าปลอม แอบอ้างเป็นร้านค้า โฆษณาขายของราคาถูก จัดโปรโมชั่น Sale สินค้า แบบลด แลก แจก แถม เพื่อให้ขาช้อปทั้งหลายตาลุกวาว และหลงโอนเงินให้มิจฉาชีพ แต่เหยื่อกลับไม่ได้สินค้าตามต้องการ

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… เมื่อเกิดความต้องการอยากได้สินค้าอะไรสักอย่างควรศึกษาและตรวจสอบร้านค้าที่จะสั่งซื้อให้ดีว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ส่วนการชำระเงินนั้นถ้าเป็นไปได้ควรขอชำระเงินปลายทาง คือต้องเห็นสินค้าก่อนแล้วจึงจ่ายตังค์
  1. หลอกร้านว่าโอนเงินแล้ว มิจฉาชีพในลักษณะนี้จะเป็นพวกที่หลอกลวงซื้อของ หรือสั่งของจากร้านค้า และขอเครดิตและจ่ายเงินหรือโอนเงินในภายหลัง ซึ่งเหยื่อที่เป็นร้านค้าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะได้รับการสั่งของเป็นจำนวนมาก และยอมส่งของให้ก่อนที่จะเก็บเงิน

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ในส่วนของร้านค้านั้นจะต้องมีการตรวจสอบลูกค้าที่เข้ามาโดยเฉพาะรายใหม่ที่สั่งของเป็นจำนวนมากๆ ดูให้ดีว่าลูกค้ารายนั้นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือไม่ ส่วนเรื่องของเครดิตการชำระเงินก็ควรเช็กให้ดีก่อนจะดำเนินการในส่วนนี้

4 รู้สู่ค…

4 รู้สู่ความมั่งคั่ง ถ้ารู้ครบ ชีวิตดีแน่นอน!!

   
รู้หา : หาเงินเพิ่ม เสริมรายได้ (เงินเดือน + รายได้เสริม = รายได้เพิ่ม)
       
      “การหารายได้” คือ การใช้ความสามารถในการทำงาน ซึ่งหลายคนมีรายได้จากเงินเดือนเพียงช่องทางเดียว แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายังมีช่องทางในการหารายได้เพิ่มเติมจากงานอดิเรก หรือ อาชีพเสริมอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น การขายของออนไลน์ ที่เป็นเทรนด์ในขณะนี้ ถ้าวางแผนได้ดี งานอดิเรกก็จะช่วยสร้างรายได้เสริมและเพิ่มความสุขให้คุณได้แน่นอน

รู้เก็บ : เก็บออมก่อนใช้จ่าย (เงินได้ – เงินออม = เงินใช้)

       “การออมเงิน” มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตในอนาคต แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้จ่ายจนพอใจแล้ว จึงนำเงินส่วนที่เหลือไปออม ในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้หลายคนมีเงินออมไม่มากพอ  วิธีแก้ก็ง่าย ๆ เพียงแค่ปรับพฤติกรรมของตัวเอง ด้วย “สมการการออม” ทุกครั้งที่มีเงินได้ให้แบ่งเงินออมอย่างน้อย 10% หรือ มากกว่านั้นก็ยิ่งดี แล้วค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายตามที่ต้องการ

รู้ใช้ : ใช้เงินอย่างฉลาด สร้างโอกาสเพิ่มเงินออม

      “การใช้จ่าย” เพื่อตอบสนองความต้องการโดยไม่ยั้งคิด อาจทำให้มีปัญหาทางการเงินตามมา หากเรายึดตากกฎ 5 ประการ จะสามารถใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ตั้งงบก่อนใช้ เปรียบเทียบก่อนซื้อ สรุปใช้สม่ำเสมอ ใช้น้อยกว่าหาได้ และไม่ใช้ก็ไม่ซื้อ

รู้ขยายดอกผล : ลงทุนถูกที่ ความมั่งมีงอกเงย

       “การลงทุน” เปรียบเสมือนการเดินทางสู่ความมั่งคั่ง เพราะเป็นการนำเงินออมไปลงทุนในทางเลือกต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ พันธบัตร กองทุนรวม หรือ อสังหาริมทรัพย์ โดยเลือกให้เหมาะกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

ประกันรถย…

ประกันรถยนต์แต่ละชั้นต่างกันยังไง?

   ความหมายของแต่ละประเภท

  ชั้น 1  ให้ความคุ้มครองครอบคลุมที่สุด ทั้งรถของคุณเอง คู่กรณี และภัยธรรมชาติ
  ชั้น 2+ คุ้มครองรถของคู่กรณี รถหายไฟไหม้ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หากรถของคุณในกรณีที่ซื้อความคุ้มครองที่มีภัยธรรมชาติครอบคลุม
  ชั้น 3+ คุ้มครองรถของคู่กรณี และรถของคุณเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณี (อุบัติเหตุที่เกิดจากรถชนรถเท่านั้น)

รายละเอียดการคุ้มครอง

ชั้น 1

  • ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินบุคคลภายนอก
  • ความเสียหายต่อรถของคุณเอง (แม้ไม่มีคู่กรณี)
  • ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม, ไฟไหม้
  • รถหายหรือถูกโจรกรรม

ชั้น 2+

  • คุ้มครองคล้ายชั้น 1 แต่ไม่คุ้มครองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี
  • คุ้มครองภัยธรรมชาติและรถหาย

ชั้น 3+

  • คุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกและรถของคุณ เฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากรถชนรถเท่านั้น
  • ข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภท

ชั้น 1 คุ้มครองครบทุกด้าน แต่เบี้ยประกันแพงกว่า
ชั้น 2+ เหมาะสำหรับรถที่อายุ 5-10 ปี มีราคาถูกกว่าชั้น 1
ชั้น 3+ ราคาถูกที่สุด แต่มีข้อจำกัดในการคุ้มครอง

เหมาะกับใคร?

ชั้น 1 ผู้ที่มีรถใหม่หรือรถราคาสูง ต้องการความคุ้มครองแบบครอบคลุม

ชั้น 2+ ผู้ที่มีรถอายุ 5-10 ปี และต้องการคุ้มครองที่เหมาะสมกับค่าเบี้ย

ชั้น 3+ ผู้ที่ขับรถน้อย และเน้นประหยัดค่าเบี้ย

คำแนะนำในการเลือกประกันที่เหมาะสม พิจารณาจากการใช้งานรถ อายุรถ และงบประมาณลักษณะการใช้งาน เป็นคนขับรถเร็ว และเดินทางไกลเป็นประจำ แนะนำชั้น 1ขับรถไม่เกิน 2 คน แนะนำระบุผู้ขับขี่ ใช้รถน้อย ขับรถดี แนะนำ ชั้น 3+

ข้อแนะเพิ่มเติม ทำประกันอย่างน้อยๆควรเป็น ชั้น 3+ เผื่อคู่กรณีไม่มีประกัน และเป็นฝ่ายผิดขับมาชนรถเรา ยังมีประกันเราที่ครอบคลุมรถเราอยู่

มีที่ดินเ…

มีที่ดินเปล่า ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

     มีที่ดินเปล่าสามารถสร้างรายได้ได้หลากหลายทาง ในบทความนี้ ได้รวบรวมไอเดียพัฒนาที่ดินเปล่า เป็นแนวทางพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ในสมัยก่อน หลายๆ คนมักกว้านซื้อที่ดินเปล่าเก็บไว้ ไม่ว่าจะเพื่อเป็นมรดก หรือเพื่อเก็งกำไร รอวันที่ราคาที่ดินปรับตัว แต่กับปัจจุบัน ผู้ที่ได้มรดกหรือเป็นเจ้าของที่ดินเปล่า ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะที่ดินเปล่าต้องเสียภาษี

นั่นหมายความว่า นอกจากที่ดินเปล่าจะไม่ก่อประโยชน์แล้ว ผู้เป็นเจ้าของยังต้องเสียเงินให้กับรัฐด้วย และยิ่งมีพื้นที่เยอะเท่าไร ก็ยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้น เป็นที่มาว่า หลายๆ คนจึงพยายามพัฒนาที่ดินเปล่าเพื่อหารายได้ …แต่จะทำอะไรดีล่ะ?

คำตอบนั้นมีมากมาย คุณสามารถพัฒนาที่ดินของคุณให้สร้างรายได้ได้หลากหลายทาง ซึ่งในบทความนี้ ก็ได้รวบรวมไอเดียพัฒนาที่ดินเปล่ามาจำนวนหนึ่งให้คุณเลือกทำ หรือเลือกเป็นแนวทางพัฒนาที่ดินต่อไป

…แต่ก่อนที่จะไปดูไอเดียกัน คุณต้องรู้ก่อนว่าที่ดินของคุณเหมาะกับการทำอะไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

รู้จักที่ดินเปล่า 3 ประเภท

เพื่อที่จะพัฒนาที่ดินให้ได้ประโยชน์สูงสุด เราต้องมองที่ดินในฐานะของ “ทำเล” 

ลักษณะที่ดินที่แตกต่าง ต่างมีข้อได้เปรียบ มีโอกาส และข้อด้อยที่ต่างกัน หากรู้ว่าที่ดินเปล่าที่เรามีมีลักษณะอย่างไร ก็จะรู้ว่าควรทำอะไรกับที่ดินผืนนี้

ที่ดิน ก็แบ่งได้หลักๆ 3 ประเภทด้วยกัน

  • ที่ดินห่างไกล ไม่ติดถนน (ที่ดินตาบอด) เพราะถูกปิดล้อมด้วยที่ดินของผู้อื่น ทำให้ไม่มีทางเข้า-ออก สัญจรไม่ได้หรือลำบาก ลงทุนทำอะไรได้ไม่กี่อย่าง จึงทำให้ราคาที่ดินเปล่าประเภทนี้ค่อนข้างถูกมาก 
  • ที่ดินห่างไกล ติดถนน เข้า – ออกง่าย สัญจรสะดวก แต่ยังห่างไกลเมืองและผู้คน เป็นที่ดินที่มีราคามากกว่าที่ดินตาบอดมาอีกระดับ เพราะสามารถพัฒนาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง
  • ที่ดินในเมือง มีทางเข้า – ออก อยู่ในเมือง ทำให้มีคนพลุกพล่าน มีผู้คนสัญจรตลอด (Traffic) เป็นที่ดินที่ราคาสูงมาก ยิ่งประชากรในพื้นที่หนาแน่นและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ยังราคาสูง เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็น่าจะสร้างรายได้ได้สูง 

เมื่อรู้ว่าที่ดินเปล่าของคุณมีลักษณะแบบใดแล้ว ต่อไปเราจะไปดูกันว่าที่ดินของคุณเหมาะที่จะลงทุนทำอะไร ซึ่งก็มีหลากหลายไอเดียให้คุณเลือกทำตามทุนทรัพย์ กำลัง และความถนัดของคุณ 

ระวัง! 5 …

ระวัง! 5 พฤติกรรมเสี่ยงอันตรายที่คุณอาจมองข้าม

      การขับรถบนท้องถนน  เชื่อหรือไม่ว่า หลายท่านก็ทำผิดกฏของท้องถนนแล้ว ซึ่งสิ่งแรกที่หลายๆท่านมักลืมทำนั้นคือการขาดเข้มขัดนิรยภัย แต่ก็จริงที่ว่าการกระทำเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลร้ายแรงอะไรกับเพื่อนๆบนท้องถนน  มาดูวิธีหลบเลี่ยง 5 พฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน

1.จะเลี้ยวแต่ไม่เปิดไฟเลี้ยว   
    พฤติกรรมนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติเพื่อนๆบนท้องถนนเลย เพราะก่อนที่เราจะได้ขับรถจริงๆ ทุกคนต้องผ่านการฝึกขับขี่หรือการสอบใบขับขี่เป็นอย่างแน่นอน ซึ่งในบททดสอบนั้น ทุกๆคนอาจจำได้ว่า ก่อนที่เราจะเลี้ยว เราควรเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งเพื่อเตือนให้คนที่อยู่รอบข้างเรารู้ว่าเราจะทำการเลี้ยว ซึ่งการที่เราจะเลี้ยว ควรเปิดไฟเลี้ยว 30-50 เมตรก่อนที่เราจะเลี้ยวถึงจะปลอดภัยที่สุด

2.ขับช้าชิดขวา ขับเร็วแซงซ้าย  
   หลายครั้งที่เรามักพบเหตุการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นบนทางด่วน หรือท้องถนนปกติ เรามักเจอพวกที่ชอบขับรถชิลๆ เรื่อยๆ ไม่รีบ แต่ดันขับแช่ชิดขวา ซึ่งหลายครั้งที่เรากำลังรีบๆต้องมาเจอสิ่งๆนี้ กรณีที่คุณกำลังที่จะแซงคันด้านหน้าและต้องใช้ความเร็ว เพราะเลนขวาถูกระบุให้กฎของจราจรว่าเป็นเลนที่ใช้ในการแซงเท่านั้น

3.ไม่ชะลอหรือหยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย
   พฤติกรรมต่อไปที่ไม่ควรปล่อยให้ละเลยและเสี่ยงต่อการเกิดดราม่ามาก นั่นก็คือไม่ชะลอหรือไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ซึ่งเหตุนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ รถทุกคันควรเฝ้าดู และระวัดระวังเพื่อที่จะหยุดให้คนข้ามถนนก่อน เพราะกฎหมายระบุชัดเจนเลยว่า ให้ผู้ใช้รถต้องหยุดให้คนข้ามทางม้าลายก่อน โดยเมื่อเห็นทางม้าลายควรต้องชะลอความเร็ว ไม่ควรเร่งความเร็ว และห้ามแซงในระยะ 30 เมตร

4.ถุยน้ำลายหรือทิ้งเศษบุหรี่บนท้องถนน
   เชื่อว่าคุณคนที่ใช้ท้องถนนต้องเคยเจอ ไม่ว่าคุณจะขับรถหรือขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการถุยน้ำลายขณะขับรถ หรือ เจอคนสูบบุหรี่ที่ยื่นออกมานอกรถขณะที่ขับรถอยู่ นี่คือสิ่งที่เสี่ยงต่อผู้ที่ต้องใช้ถนนรวมกันเพราะนอกจะกลิ่นที่เป็นมลพิษแล้ว ใครที่ขี่จักรยานยนต์ผ่านจะต้องมาระวังสิ่งนี้ด้วย

5.รถกระบะขนของเยอะเกินกำหนด
    การที่เราเจอรถกระบะที่ขนของเกินขนาด ขอบอกเลยว่าการที่รถกระบะจะขนของไปในพื้นที่ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่การที่ขนของเกินขนาด สามารถทำให้เพื่อนรวมทางเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะสิ่งที่คุณขนมาอาจตกหรือหลนได้ตลอดเวลา ดังนั้นการที่ขนของไปมาควรมีข้อปฏิบัติดังนี้

  • หากทำการขนย้ายสิ่งของในเวลากลางวัน ควรติดธงสีแดง เรืองแสงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 45 เซนติเมตร แสดงเป็นสัญญาณให้รถคันหลังเห็นได้ชัดและระมัดระวังตัวได้

  • หากทำการขนย้ายสิ่งของในเวลากลางคืน หรือ ช่วงเวลาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรือเวลาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะ 150 เมตร ควรติดไฟสัญญาณสีแดงที่มองเห็นชัดเจนระยะ 150 เมตร

8 เรื่องค…

8 เรื่องควรรู้ก่อน "ออมทองออนไลน์"

      ราคาทองผันผวนสูง หลังแตะบาทละ 4 หมื่น นักเก็งกำไรควรศึกษาก่อนลงทุน โดยเฉพาะ 8 เรื่องควรรู้ก่อน “ออมทองออนไลน์” ที่ปัจจุบันเข้าถึงง่าย สามารถซื้อทองคำได้ในราคาขั้นต่ำ 150 บาท, 500 บาท แล้วแต่แอปพลิเคชันบนมือถือ

1.ดูราคาทองคำให้เป็น เพราะราคาซื้อ กับราคาขาย มีราคาไม่เท่ากัน ถ้าจะซื้อทอง ให้ดูราคาขาย ถ้าจะขายทอง ให้ดูราคาซื้อ

2.เงินขั้นต่ำในการออม แล้วแต่แพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชัน สามารถออมทีละน้อยได้ เช่น ขั้นต่ำ 150 บาท, 500 บาท สะสมเรื่อย ๆ

3.ปริมาณน้ำหนัก ทองแท่ง กับ ทองรูปพรรณ ไม่เท่ากัน โดยทองรูปพรรณน้ำหนัก 1 บาท มีปริมาณประมาณ 15.16 กรัม ส่วนทองคำแท่ง 1 บาท มีปริมาณ 15.244 กรัม

4.แต่ละแพลตฟอร์มจะมีค่าธรรมเนียมแตกต่างกัน ควรเปรียบเทียบก่อนลงทุน อย่างเช่น ค่าธรรมเนียม กรณีถอนทอง

  ถอนทองรูปพรรณ จะต้องเสีย ค่ากำเหน็จ (ค่าแรง 500-1,000 บาท) ขึ้นอยู่กับลักษณะทองที่ต้องการ เช่น แหวน, กำไล, สร้อยคอ และแพลตฟอร์ม

  ถอนทองแท่ง จะต้องเสีย ค่าบล็อก (150-500 บาท/ทองแท่ง 1 บาท) ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม

5.เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการโดยบริษัท หรือผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือ

6.หลีกเลี่ยงโอนเงินเข้าบัญชีบุคคล สังเกตบัญชีปลายทางควรเป็นชื่อบริษัท หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียน  เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน

7.เตือนภัย ! เจอออมทองแบบนี้ เสี่ยงเป็น “มิจฉาชีพ” ควรหลีกเลี่ยง อย่าหลงกล

  – โปรโมตว่า “รับเงินปันผลทุกสัปดาห์” แบบนี้หลอกลงทุนแน่นอน

  – มีการชักชวนให้หาสมาชิกเพิ่ม แบบนี้คือ “แชร์ลูกโซ่” แน่นอน

8.รู้ข้อดี – ข้อเสีย ออมทองออนไลน์ สรุปสั้น ๆ คือ

  ข้อดี : ซื้อขายในราคาเรียลไทม์ได้ ถอนเป็นทองคำหรือเงินสดได้ ส่วนใหญ่นักสะสมทองนิยมถอนเป็น “ทองแท่ง” เพราะเจอค่าเจอค่าธรรมเนียมน้อยกว่า และขายง่ายกว่า “ทองรูปพรรณ”

  ข้อเสีย : การออมทอง ไม่มีดอกเบี้ยเงินฝาก ราคาทองผันผวนสูง เสี่ยงขาดทุนได้ ควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุน

วิธีแก้หน…

วิธีแก้หนี้เสีย ก่อนโดน Blacklist

       การแก้ไขปัญหาหนี้เสียไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่เราจะถูกขึ้นบัญชีดำ หรือ Blacklist ซึ่งจะทำให้การกู้เงินในอนาคตยากขึ้น ลองทำตามวิธีต่อไปนี้

  1. ไม่สร้างหนี้เพิ่ม หยุดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและไม่ก่อหนี้เพิ่ม เช่น
  • งดใช้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด
  • หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่ทุกรูปแบบ
  • ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น สมาชิกฟิตเนส หรือบริการสตรีมมิ่งต่างๆ
  • พยายามใช้เงินสดในการซื้อสินค้าและบริการ เพื่อควบคุมการใช้จ่าย
  1. จัดลำดับการจ่ายหนี้ วิธีจัดการหนี้เสีย คือ จัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้จะช่วยให้เราจัดการภาระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
  • เริ่มจากหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุด เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสด
  • จ่ายมากกว่ายอดขั้นต่ำเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดเงินต้นและดอกเบี้ยในระยะยาว
  • อย่าละเลยหนี้อื่น ๆ พยายามจ่ายอย่างน้อยยอดขั้นต่ำเพื่อรักษาประวัติการชำระเงิน
  1. รวมหนี้ พิจารณาการรวมหนี้เสียจากธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ซึ่งอาจช่วยลดภาระการผ่อนชำระรายเดือนได้
    โดยนำเงินกู้ก้อนใหม่มาปิดหนี้เก่าทั้งหมด เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและมียอดผ่อนชำระเพียงที่เดียว
  1. รีบเจรจากับสถาบันการเงิน ติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้

หนี้เสีย …

หนี้เสีย NPL คืออะไร

    การเป็นหนี้เสีย หรือ NPL คือ ปัญหาทางการเงินที่หลายคนอาจพบเจอเมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

    หนี้เสีย คือ สถานะที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินระบุว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถานะทางการเงินและโอกาสในการกู้ยืมในอนาคต วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับหนี้เสียและผลกระทบที่มีต่อการกู้เงินกัน เพื่อช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     หนี้เสีย หรือ NPL (Non-Performing Loan) คือ หนี้ที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระคืนตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ครบถ้วนภายในระยะเวลา 90 วัน หนี้เสียเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดรายได้ที่เพียงพอ การบริหารจัดการเงินไม่ดี หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วย หรือการสูญเสียงาน

      หนี้เสีย คือหนี้มีผลกระทบต่อทั้งผู้กู้และธนาคาร ในมุมมองของผู้กู้ การมีหนี้เสียจะทำให้ประวัติการเงินของเรามีปัญหาและส่งผลให้การขอกู้ในอนาคตยากขึ้น ธนาคารจะมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูงและอาจปฏิเสธการให้สินเชื่อใหม่ หรือเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

   สำหรับธนาคาร การมีลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดจะทำให้มีหนี้ที่ต้องติดตามและบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน และต้องตั้งสำรองสำหรับหนี้เสียเพิ่มขึ้น

หนี้เสียมีอะไรบ้าง

  • บัตรเครดิต : หนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและไม่สามารถชำระเงินตามกำหนดเวลา
  • สินเชื่อบุคคล : หนี้ที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือเพื่อการลงทุน
  • สินเชื่อรถยนต์ : หนี้ที่เกิดจากการกู้เงินซื้อรถยนต์และไม่สามารถชำระเงินตามสัญญา


หนี้เสีย กับเครดิตบูโร ต่างกันอย่างไร

หนี้เสียและ เครดิตบูโร เป็นสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่เหมือนกัน

เครดิตบูโรเป็นรายงานประวัติการชำระหนี้ที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาการให้กู้เงิน ในขณะที่หนี้เสียคือสถานะของหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้ การมีหนี้เสียจะส่งผลให้ประวัติเครดิตบูโรของเราเป็นลบ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการกู้เงินในอนาคต

เครดิตบูโ…

เครดิตบูโร คืออะไร

    เครดิตบูโร (Credit Bureau) หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด คือศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้ทุกประเภท ของบุคคลและนิติบุคคลจากสถาบันการเงินและบริษัทที่เป็นสมาชิก โดยประชาชนทั่วไป สามารถตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของตัวเองได้ผ่านหลายช่องทาง ทั้งโมบายแอปพลิเคชัน ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร เคาน์เตอร์ธนาคาร ธนาคารออนไลน์ ตู้ ATM หรือที่ทำการไปรษณีย์ที่มีบริการ โดยสามารถตรวจสอบได้ทุกปีเหมือนการตรวจสุขภาพประจำปีเลย เพื่อค้นหาและแก้ไขความผิดปกติได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง 

ติดเครดิตบูโร เกิดจากกรณีไหน

   การติดเครดิตบูโร เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อ โดยเฉพาะการกู้ซื้อบ้าน การค้างชำระเกิน 30 วันจะถูกรายงานไปยังบริษัทข้อมูลเครดิต แต่จะถือว่าติดเครดิตบูโรเมื่อค้างชำระเกิน 90 วัน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ข้อมูลจะปรากฏในรายงานเครดิตบูโรแบ่งเป็นสองกรณี คือ หนี้เสีย (NPL) ที่ชำระแล้วจะคงอยู่ 5 ปีนับจากวันชำระครบถ้วน ส่วนหนี้เสียที่ยังไม่ชำระจะคงอยู่ 7 ปีนับจากวันสิ้นสุดสัญญา

บัญชีม้าค…

บัญชีม้าคืออะไร มีโทษยังไง?

        บัญชีม้า คือ บัญชีธนาคารที่บุคคลหนึ่งเปิดหรือใช้เพื่อให้ผู้อื่นยืมใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเจ้าของบัญชีไม่จำเป็นต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์หรือรายละเอียดของธุรกรรมที่เกิดขึ้นในบัญชีของตนเอง โดยทั่วไปบัญชีม้ามักจะถูกใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน การหลีกเลี่ยงภาษี หรือการฉ้อโกง ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจส่งผลเสียทั้งในด้านกฎหมายและเศรษฐกิจ

โทษของการใช้บัญชีม้า

      การใช้บัญชีม้ามีโทษทางกฎหมายที่ร้ายแรง เพราะการปล่อยให้ผู้อื่นยืมบัญชีเพื่อทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายถือเป็นการร่วมกระทำความผิด ซึ่งอาจทำให้เจ้าของบัญชีม้าได้รับโทษทั้งทางอาญาและการเงิน ดังนี้:

  1. ฟอกเงิน: หากบัญชีม้าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือการเคลื่อนย้ายเงินที่ได้มาจากกิจกรรมผิดกฎหมาย ผู้ใช้บัญชีม้าอาจถูกดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงิน ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับเงินสูง
  2. ร่วมกระทำผิด: การยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีของตนทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายอาจถือเป็นการร่วมกระทำผิด และเจ้าของบัญชีม้าอาจต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิด
  3. โทษทางอาญา: หากเจ้าของบัญชีม้ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดหรือมีเจตนาช่วยเหลือในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน ก็อาจถูกดำเนินคดีอาญา

สรุป

       บัญชีม้าเป็นบัญชีที่ถูกใช้ในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยที่เจ้าของบัญชีอาจไม่ทราบถึงการกระทำที่เกิดขึ้น การใช้บัญชีม้าเพื่อกิจกรรมผิดกฎหมายมีโทษร้ายแรงทั้งในด้านอาญาและการเงิน ดังนั้น การป้องกันและการระมัดระวังในการเปิดบัญชีธนาคารและการใช้บัญชีธนาคารจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกใช้เป็นบัญชีม้าและการกระทำผิดที่อาจเกิดขึ้น.