เคล็ดลับก…

เคล็ดลับการออมเงินในแต่ละเจนเนอเรชั่น

            ในแต่ละช่วงวัยย่อมมีการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ซึ่งส่งผลให้แผนการใช้ชีวิตและการออมเงินต่างกันไปด้วย ที่จะมาบอกเล่าแนวทางง่ายๆ สำหรับการวางแผนการออมเงินอย่างไรให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและช่วงวัยของคุณ

             ช่วงวัย หรือ อายุที่ต่างกันของคนแต่ละช่วง เป็นปัจจัยสำคัญต่อการวางแผนการเงิน เพราะคนแต่ละวัย ย่อมมีการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน วันนี้ เราจึงมีเคล็ดลับการออมเงินเพื่อให้เหมาะกับคนทั้ง 4 เจนเนอเรชั่น มาเป็นแนวทางให้ลองทำตามกันดังนี้ 

  1. Baby Boomer   (เกิดช่วงปี พ.ศ. 2489-2507 : อายุ 50 ปีขึ้นไป)   
       Baby Boomer เป็นเจนเนอเรชั่นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง และโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคพัฒนาอุตสาหกรรม จึงเติบโตมาพร้อมกับการแข่งขัน ทำงานหนัก มีความอดทนสูง และมีความประหยัด รอบคอบเป็นที่สุด 

         ปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เริ่มเข้าสู่วัยชรากันแล้ว ดังนั้นแผนการออมเงินเพื่อเกษียณอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก จึงควรนำเงินออมส่วนใหญ่เก็บไว้ในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำ เน้นความมั่นคง เงินต้นไม่หาย เช่น ฝากประจำ ซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อมีเงินใช้ในวัยเกษียณ

  1. Gen X  (เกิดช่วงปี พ.ศ. 2508-2522  : อายุ 40 ปีขึ้นไป)   
        Gen X คือกลุ่มคนวัยทำงานที่อยู่ในช่วงสร้างครอบครัว เติบโตมาในยุคที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงมีนิสัยกล้าแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็เป็นกลุ่มที่ใช้เงินเก่ง การวางแผนการเงินของคน Gen X จึงควรระวังเรื่องการก่อหนี้จนเกินตัว และโฟกัสเรื่องการออมเพื่ออนาคตให้มากขึ้น เพราะแม้จะเป็นช่วงที่หาเงินได้มาก แต่ก็เต็มไปด้วยภาระต่างๆ ที่มากขึ้นตามวัยเช่นกัน 

       เคล็ดลับการออมเงินสำหรับคนกลุ่มนี้ จึงควรจัดสรรเงินออมให้สมดุลกับการใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยการแบ่งเงินออมราว 50-70% เก็บไว้ในที่ปลอดภัยเพื่อเป็นเงินเกษียณอายุ ส่วนที่เหลือค่อยแบ่งมาลงทุนสร้างผลตอบแทนที่งอกเงย อย่างเช่น หุ้น หรือ กองทุนรวมหุ้น  

  1. Gen Y  (เกิดช่วงปี พ.ศ. 2523-2540 : อายุ 22-40 ปี)
       หนุ่มสาว Gen Y เกิดมาในยุคที่เทคโนโลยี และสื่อโซเชียลมีเดียกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก จึงมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ยึดติดกับค่านิยมเดิมๆ มีนิสัยชอบใช้เงินไปกับการท่องเที่ยว ทานอาหาร ดื่มกาแฟราคาแพง ที่สำคัญคือมักไม่ค่อยอดทน รักง่ายหน่ายเร็ว ฉะนั้น คน Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน จึงควรฝึกวินัยการออมเงินให้เป็นนิสัย

         และด้วยนิสัยของคน Gen Y ที่กล้าได้กล้าเสีย ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงเหมาะที่จะลองผิดลองถูกในเรื่องการลงทุน โดยศึกษาหาความรู้เรื่องการออม การลงทุนให้มากเข้าไว้ และสามารถนำเงินออมส่วนใหญ่ 70-80% ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้น เพื่อผลตอบแทนที่งอกเงย แต่ก็ควรกันเงินราว 20-30% ของเงินออม เก็บไว้ในรูปแบบที่มีความปลอดภัย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้นกู้ เพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย 

  1. Gen Z  (เกิดช่วงปี พ.ศ. 2540 ขึ้นไป : อายุต่ำกว่า 22 ปี)
        Gen Z ก็คือเด็กรุ่นใหม่ที่ยังเรียนหนังสืออยู่ พวกเขาเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในยุคดิจิทัล จึงเปิดรับและเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รวดเร็ว มีความเชี่ยวชาญในการหาข้อมูลต่างๆ ในโลกออนไลน์ ทำให้มีนิสัยชื่นชอบความสะดวกสบาย และความรวดเร็ว

       ดังนั้น หากปลูกฝังนิสัยรักการออมได้ตั้งแต่ช่วงนี้ เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะสามารถวางแผนการเงินได้ดี ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องวินัยในการออม ต้องออมอย่างสม่ำเสมอ เก็บออมไปเรื่อย ๆ และควรเลือกออมหรือลงทุนประเภทความเสี่ยงต่ำแบบง่ายๆ เช่น หยอดกระปุก ฝากเงินในธนาคาร ซื้อสลากออมทรัพย์ เป็นต้น 

       การออมเงินในแต่ละเจนเนอเรชั่น แม้จะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งสำคัญก็เพื่อมีชีวิตวัยเกษียณที่เป็นสุข ฉะนั้น ยิ่งเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักเรียน-นักศึกษาที่ยังไม่ได้ทำงาน หรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน และไม่มีสวัสดิการเพื่อการเกษียณ แนะนำให้เริ่มออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่สามารถออมได้ตั้งแต่อายุ 15-60 ปี ออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี เพื่อรับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุด 100% ตามช่วงอายุ แถมยังได้รับดอกผลจากการนำเงินไปลงทุน และเมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้รับบำนาญไว้ใช้ทุกเดือน ถือเป็นการออมเงินเพื่ออนาคตที่เริ่มต้นออมได้ทุกวัย ทุกเจนเนอเรชั่น เลยทีเดียว  

5 ธุรกิจท…

5 ธุรกิจที่น่าลงทุนที่ปักษ์ใต้บ้านเรา ปี 2568

   

      เปิด 5 ธุรกิจดาวเด่นน่าจับตา และน่าลงทุน ประจำปีนี้ สำหรับประเทศไทย จากการวิเคราะห์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ  พบว่าในปี 2568 มี 5 ธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตา และน่าลงทุน

  1. ธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจกรรมในครอบครัว ธุรกิจโรงแรมและที่พัก ธุรกิจร้านอาหาร ผับบาร์ ธุรกิจการแสดงโชว์และความบันเทิง รวมทั้งธุรกิจกิจกรรมสำหรับครอบครัว เช่น สวนสัตว์ สถานที่พักผ่อนตามธรรมชาติ โดยปี 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่จำนวน 6,667 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 458 ราย หรือเพิ่มขึ้น 7.38% มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 16,16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 2,269.54 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 16.23% ถือว่าเป็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ รายได้รวมของธุรกิจในปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 753,308.31 ล้านบาท
  2. ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง ผลิต จำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจรักษาสัตว์เลี้ยง โดยปี 2567 มีจำนวนธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่จัดตั้งขึ้นใหม่ จำนวน 206 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 400.12 ล้านบาท และรายได้รวมปี 2566 มีมูลค่า 76,28 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,310.31 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ปัจจุบันมีความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ที่หลากหลาย และหลายคนเลี้ยงสัตว์แทนลูก เปรียบเสมือนเป็นคนในครอบครัว จึงพร้อมที่จะใช้จ่ายให้กับสัตว์เลี้ยง ทั้งอาหาร ของเล่น และการดูแลสุขภาพ ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตตามความต้องการของตลาดและเทรนด์ของการเลี้ยงสัตว์
  3. ธุรกิจปรับปรุงและตกแต่งอาคาร ธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายใน ธุรกิจซ่อมแซมอาคาร โดยปัจจุบันผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น แทนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ใหม่ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่อยู่อาศัยเดิมอยู่ในทำเลที่ดี และสอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต รวมถึง การปรับปรุงอาคารต่างๆ เพื่อประกอบธุรกิจได้อย่างหลากหลาย เช่น ที่พัก ร้านอาหาร และคาเฟ่ ส่งผลให้ธุรกิจปรับปรุงและตกแต่งอาคาร ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น โดยปี 2566 ธุรกิจปรับปรุงและตกแต่งอาคาร มีรายได้รวม 100,03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 11,585.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.97% โดยปี 2567 มีนิติบุคคลจัดตั้งใหม่จำนวน 993 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 1,510.21 ล้านบาท
  4. ธุรกิจ e-Commerce ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ธุรกิจคลังสินค้าและการจัดเก็บสินค้า ธุรกิจตลาดกลางในการ ซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ธุรกิจ e-Commerce มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งผู้ประกอบการมีการปรับเปลี่ยนช่องทางการตลาดเข้าสู่ช่องทางการจำหน่ายทั้ง Offine และ Online ควบคู่กัน ทั้งนี้ ปี 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่จำนวน 2,219 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 318 ราย และเพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 572 ราย เพิ่มขึ้น 16.73% และ 34.73% ตามลำดับ มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 3,23 ล้านบาท โดยรายได้รวมในปี 2566 มีมูลค่า 279,787.83 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,442.28 ล้านบาท
  5. ธุรกิจการบริหารจัดการธุรกิจ เช่น ธุรกิจสำนักงานบัญชี ธุรกิจสำนักงานกฎหมาย ธุรกิจการจ้างงานบุคคลภายนอก (outsource) โดยธุรกิจการบริการจัดการธุรกิจ ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการประกอบธุรกิจยุคปัจจุบัน ทั้งการจ้างทำบัญชี ที่ปรึกษากฎหมาย หรือการจ้างงานบุคคลภายนอก แทนการจ้างพนักงานประจำ ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ ที่เข้ามาช่วยประยุกต์ใช้ให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น โดยปี 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่จำนวน 4,296 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 181 ราย และเพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 806 ราย หรือ เพิ่มขึ้น 40% และ 23.09% ตามลำดับ มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 6,521.44 ล้านบาท โดยธุรกิจการบริหารจัดการธุรกิจมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นและต่อเนื่องช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2567)

รับจ้างเป…

รับจ้างเปิดบัญชี มีโทษทางกฎหมาย เสี่ยงคุก !!

     “บัญชีม้า” หนึ่งในวิธีการของมิจฉาชีพที่ว่าจ้างให้ผู้อื่นเปิดบัญชีธนาคาร หรือซื้อขายบัญชีเพื่อนำบัญชีดังกล่าวไปกระทำความผิด และหลบเลี่ยงเส้นทางการเงินในกลโกงรูปแบบต่าง ๆ

บทลงโทษตามกฎหมายที่ควรรู้

  1. ความผิด ตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  • ผู้เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชี : จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ผู้เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อให้มีการซื้อขาย : จำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  1. ความผิดฐานฟอกเงิน
  • จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วิธีการป้องกันตัวเอง

  • อย่าเปิดบัญชีธนาคารให้กับคนอื่น
  • อย่าให้ใครยืมใช้บัญชีธนาคาร
  • หมั่นตรวจสอบบัญชีเป็นประจำ หากพบความผิดปกติ ให้รีบให้แจ้งธนาคารทันทีเพื่อขอคำแนะนำ และระงับบัญชี
  • ระวังข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อมูลบัตรประชาชนทั้งด้านหน้า-หลัง , รหัส OTP เป็นต้น เพราะคนร้าย อาจนำข้อมูลเหล่านั้นไปเปิดบัญชีม้าได้

อยากเอาที…

อยากเอาที่ดินไปจำนำ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?

   โฉนดที่ดินเป็นเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่กรมที่ดินออกให้ เพื่อบ่งบอกว่าบุคคลนั้นมีสิทธิทำอะไรก็ได้บนที่ดินผืนนั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งโฉนดที่ดินยังสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินก้อนได้กับสินเชื่อจำนำโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือจะเป็นสินเชื่อโฉนดที่ดินเปล่าก็ได้เช่นกัน เมื่อเริ่มขาดสภาพคล่องทางการเงินหรือต้องการหาสินเชื่อเงินด่วนถูกกฎหมาย เพียงนำโฉนดที่ดินปลอดภาระมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ ก็ได้เงินก้อนไปใช้จ่ายฉุกเฉินในทันที มาทำความเข้าใจกันว่า แล้วโฉนดแบบไหนเอาไปจำนำได้บ้าง?

 การจำนำโฉนดที่ดินคืออะไร

  การจำนำโฉนดที่ดิน คือ การนำโฉนดที่ดินปลอดภาระ หรือโฉนดที่ดินที่ทำการโอนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้โดยไม่ต้องไปจดจำนองที่กรมที่ดิน เป็นการเปลี่ยนโฉนดที่ดินเป็นเงินทุน เงินก้อน ได้ง่าย ๆ เพื่อนำไปใช้จ่ายยามฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

การจำนำโฉนดที่ดินต่างกับการจำนองบ้าน จํานองที่ดินยังไง?

  การจำนำโฉนดที่ดิน เจ้าของที่ดินจะนำโฉนดไปวางไว้เป็นหลักประกันเงินกู้ แต่ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าของจะได้รับโฉนดที่ดินคืน โดยในช่วงระยะเวลาที่จำนำนั้น เจ้าของจะไม่สามารถนำที่ดินไปจำหน่ายจ่ายโอนได้

  ส่วนการจำนองบ้าน จํานองที่ดิน คือ การที่เจ้าของจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นให้แก่สถาบันการเงินชั่วคราวในช่วงระยะเวลาการจำนอง ทำให้สถาบันการเงินเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินที่จำนอง เมื่อชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว กรรมสิทธิ์ถึงจะโอนกลับคืนสู่เจ้าของ

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนจำนำที่ดิน

  1. ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน

  สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ ตรวจสอบว่าเราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินจริงหรือไม่ครับ เพราะหากเราไม่ใช่เจ้าของ หรือถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับคนอื่น จะไม่สามารถจำนำได้แบบง่าย ๆ ต้องมีเอกสารแสดงสิทธิ์ชัดเจน และในกรณีที่มีเจ้าของร่วม ต้องมีหนังสือยินยอมจากทุกคนที่มีชื่อในโฉนด

  1. เตรียมเอกสารให้ครบ

  แม้ว่าเราจะคิดว่าแค่ถือโฉนดไปก็พอแล้ว แต่ความจริงยังมีเอกสารอื่น ๆอีกครับ ที่มักต้องใช้ร่วมด้วย เช่น

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • โฉนดที่ดินฉบับจริง
  • เอกสารการเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
  • เอกสารประกอบอื่น ๆ เช่น สัญญากู้เงิน ใบค้ำประกัน เป็นต้น
  1. เปรียบเทียบแหล่งเงินทุน

  ไม่ใช่ว่าทุกแหล่งเงินทุนจะให้เงื่อนไขที่เหมือนกันนะครับ บางที่ให้วงเงินสูงแต่ดอกเบี้ยสูงมาก บางที่ดอกเบี้ยต่ำแต่ต้องใช้เอกสารเยอะ หรืออาจต้องใช้ผู้ค้ำประกันควรเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น

  • ธนาคารของรัฐ
  • สหกรณ์ออมทรัพย์
  • บริษัทเงินกู้ถูกกฎหมาย
  • บุคคลทั่วไป (แต่ต้องระวัง)

 ดูทั้งในเรื่องของวงเงินที่ให้ ดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อน และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่อาจซ่อนอยู่

  1. อ่านสัญญาให้ละเอียดที่สุด

  สัญญาคือหัวใจของการจำนำ ถ้าไม่อ่านให้ละเอียด หรือไม่เข้าใจเงื่อนไข อาจทำให้เสียเปรียบได้ครับ หรือถูกยึดที่ดินโดยไม่รู้ตัวตรวจสอบให้แน่ใจว่าสัญญาระบุชัดเจนในเรื่องเหล่านี้

  • จำนวนเงินกู้
  • ดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ
  • วิธีการผ่อนชำระ
  • วันครบกำหนดชำระ
  • เงื่อนไขกรณีผิดนัด
  • สิทธิของทั้งสองฝ่าย

 หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายก่อนเซ็นชื่อครับ

  1. วางแผนการเงินให้ดี

  เมื่อเรานำที่ดินนั้นไปจำนองแล้ว หมายความว่าเรานั้นได้มีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ในการวางแผนการเงินที่ดี ไม่ใช่แค่ว่าเราได้เงินก้อนหนึ่งมาแล้วก็จบครับ แต่เราควรจะต้องมองการณ์ไกล และมีแผนรับรองทางเกินว่า เมื่อนำที่ดินไปจำนำแล้ว หมายความว่ามีหนี้ก้อนหนึ่งที่ต้องชำระในอนาคต ดังนั้นอย่ามองแค่ได้เงินมาก้อนหนึ่งแล้วจบครับ ควรมีแผนการเงินรองรับว่า

  • จะหาเงินจากไหนมาใช้คืน?
  • ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการชำระ?
  • หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน จะจัดการยังไง?

การวางแผนล่วงหน้าไม่เพียงช่วยให้ไม่พลาดนัด แต่ยังช่วยให้รักษาทรัพย์สินอันมีค่าไว้ได้อีกด้วย

9 มุกของม…

9 มุกของมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงิน

  1. หลอกให้รักแล้วให้โอนเงิน มิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นๆ ด้วยการใช้รูปโปรไฟล์คนหน้าตาดี หรือน่าเชื่อถือ ผ่านการติดต่อจาก Social media ต่างๆ เช่น Facebook, Instragram หรือ Twitter เป็นต้น คุยติดต่อให้เหยื่อไว้ใจแล้วหลอกให้โอนเงิน หรือส่งของให้

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… จำไว้เสมอว่าการหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพนี้ ส่วนใหญ่จะหลอกให้เหยื่อโอนเงินผ่านบริการโอนเงินที่ผู้รับสามารถรับเงินได้โดยไม่ต้องมีเอกสารแสดงตัวตนใดๆ เพราะจะได้ยากต่อการติดตาม และในส่วนของการอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการใดๆ ก็ตามนั้น ให้สังเกตว่าส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่จะไม่ติดต่อกับประชาชนโดยตรง แต่หากมีการติดต่อจากเจ้าหน้าที่จริงๆ ก็จะดำเนินการโดยมีเอกสารหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร และเราควรมีการตรวจสอบไปยังหน่วยงานนั้นๆ โดยตรงก่อนที่จะดำเนินการโอนเงินกลับ
  1. อ้างเป็นคนรู้จัก มิจฉาชีพจะใช้ความสัมพันธ์ในการเป็นครอบครัวใหญ่ของคนไทย ด้วยการเป็นญาติ พี่น้อง หรือเพื่อน มาหลอกลวงให้โอนเงินให้ โดยการใช้ Social Network

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… เมื่อได้รับข้อความจากช่องทางโซเชียลมีเดีย ต่างๆ ในลักษณะการขอยืมเงิน หรือขอให้โอนเงิน ทางที่ดีเราควรโทรฯ เช็กเพื่อยืนยันตัวตนให้ชัดเจนก่อน และควรเข้าไปดูหน้า feed เพื่อพิจารณาลักษณะการโพสต์ และหากยิ่งเป็นญาติพี่น้อง หรือเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วอยู่ๆ ทักมา ยิ่งต้องระวังไว้ให้ดี
  1. หลอกให้ลงทุน มิจฉาชีพจะหลอกลวงมาในรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่” เป็นส่วนใหญ่ ด้วยการเชิญชวนให้หารายได้เสริมที่มีรายได้ดี แต่ไม่ต้องทำงานหนัก จูงใจด้วยการใช้จิตวิทยาโน้มน้าวให้เหยื่อสมัครเป็นสมาชิก และหาสมาชิกรายอื่นๆ เพิ่ม

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… เมื่อมีการชักชวนในลักษณะนี้เกิดขึ้น ให้เราศึกษาที่มาที่ไปของธุรกิจนี้ให้ดีก่อน และดูว่าธุรกิจที่จะลงทุนนี้มีใบขออนุญาตทำธุรกิจจริงหรือไม่ ที่สำคัญคือเราไม่ควรไว้ใจหรือเกรงใจใครจนไม่กล้าปฏิเสธ แม้ว่าคนที่ชวนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวก็ตาม และควรหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับกลุ่มธุรกิจที่ไม่แน่ใจ เพราะคนกลุ่มนี้จะใช้จิตวิทยาหว่านล้อมจนทำให้เรายากที่จะทำการปฏิเสธ
  1. อ้างช่วยเรื่องสินเชื่อได้ มิจฉาชีพจะอ้างกับเหยื่อว่าสามารถเจรจากับเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดีได้ แต่ขอให้เหยื่อจ่ายค่าจ้างในการเจรจาก่อนจึงจะไปเจรจาให้

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… ส่วนใหญ่พวกที่เป็นมิจฉาชีพนี้จะร้องขอค่านายหน้าก่อนที่จะช่วยเหลือเหยื่อ เพราะจริงๆ แล้วมิจฉาชีพไม่สามารถช่วยเหลือเหยื่อได้ นอกจากนี้ สถาบันการเงินมีเงื่อนไขและเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่จะขอกู้ได้จะต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนด
  1. ขโมย หรือปลอมแปลงบัตรเครดิต / เดบิต / ATM มิจฉาชีพต้องการข้อมูลจากบัตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นเลขที่บัตร รหัส และข้อมูลในส่วนต่างบนบัตร หรือแม้แต่การเอาบัตรนั้นๆ มาเอาเงินจากบัญชีเราออกไป ซึ่งอาจจะด้วยการขโมยบัตร หรือใช้การขโมยข้อมูลในแถบแม่เหล็ก ที่เรียกว่า “Skimmer”

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… หลีกเลี่ยงการใช้บัตรกับตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในสถานที่เปลี่ยว หรือหากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ให้สังเกตว่าตู้เอทีเอ็มมีลักษณะผิดปกติหรือไม่ และถ้าใช้บัตรในการชำระค่าสินค้าและบริการ ก็ให้เราไปอยู่ในบริเวณที่มองเห็นการทำรายการ เพื่อป้องกันพนักงานนำบัตรไปรูดกับเครื่องคัดลอกข้อมูล และควรหลีกเลี่ยงการใช้บัตรกับร้านค้าที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตได้ เช่น ปั๊มน้ำมัน หรือสถานบันเทิง เป็นต้น เคล็ดลับเล็กๆ สำหรับการป้องกันการนำข้อมูลบนบัตรไปใช้ก็คือ ติดสติ๊กเกอร์ปิดเลขรหัส CVV ด้านหลังบัตรไว้เสมอ
  1. ลวงล้วงข้อมูลส่วนตัว มิจฉาชีพที่มาลวงล้วงข้อมูลส่วนตัวนี้ส่วนใหญ่จะทำงานกันเป็นทีมหรือเป็นขบวนการ ด้วยการเริ่มติดต่อเข้ามาโดยใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติ แอบอ้างตัวเองเป็นหน่วนงานโน่นนี่นั่น แล้วสร้างสถานการณ์ให้เหยื่อตกใจโดยอ้างถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายของเหยื่อ หรือใช้จุดอ่อนจากความกลัวมาเป็นมุกในการหลอกลวง

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจเลยคือ จะไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วนงานใดๆ แจ้งขอข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์หรือโซเชียลมีเดียใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเจอกรณีแบบนี้ให้สงสัยได้ทันทีว่ากำลังถูกหลอกลวงแน่นอน เพราะฉะนั้นก็อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น และหลังจากนั้นก็ทำการตรวจสอบโดยโทรกลับไปสอบถามหรือไปแจ้งที่ธนาคารโดยตรง
  1. อ้างว่าแลกกับเงินก้อนโต มิจฉาชีพจะใช้ความโลภที่ทุกคนมี มาใช้หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อนำเงินจำนวนน้อยกว่ามาแลกกับเงินหรือรางวัลที่จะได้รับมากกว่า

    วิธีสังเกต และป้องกัน… เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้อย่าเพิ่งหลงเชื่อและเอาเงินให้กับมิจฉาชีพเหล่านี้ เราควรตรวจสอบหมายเลขที่กำกับอยู่ในลอตเตอรี่หรือเอกสารนั้นๆ ก่อนว่า เป็นของจริงหรือไม่ และควรคิดไว้เสมอว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปได้ยากเพราะถ้ามีการถูกรางวัลจริงๆ คนเหล่านี้มักจะไม่มาบอกเราแน่นอน
  1. ร้านค้าปลอม แอบอ้างเป็นร้านค้า โฆษณาขายของราคาถูก จัดโปรโมชั่น Sale สินค้า แบบลด แลก แจก แถม เพื่อให้ขาช้อปทั้งหลายตาลุกวาว และหลงโอนเงินให้มิจฉาชีพ แต่เหยื่อกลับไม่ได้สินค้าตามต้องการ

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… เมื่อเกิดความต้องการอยากได้สินค้าอะไรสักอย่างควรศึกษาและตรวจสอบร้านค้าที่จะสั่งซื้อให้ดีว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ส่วนการชำระเงินนั้นถ้าเป็นไปได้ควรขอชำระเงินปลายทาง คือต้องเห็นสินค้าก่อนแล้วจึงจ่ายตังค์
  1. หลอกร้านว่าโอนเงินแล้ว มิจฉาชีพในลักษณะนี้จะเป็นพวกที่หลอกลวงซื้อของ หรือสั่งของจากร้านค้า และขอเครดิตและจ่ายเงินหรือโอนเงินในภายหลัง ซึ่งเหยื่อที่เป็นร้านค้าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะได้รับการสั่งของเป็นจำนวนมาก และยอมส่งของให้ก่อนที่จะเก็บเงิน

    ตั้งสติ และป้องกันตัว… การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ในส่วนของร้านค้านั้นจะต้องมีการตรวจสอบลูกค้าที่เข้ามาโดยเฉพาะรายใหม่ที่สั่งของเป็นจำนวนมากๆ ดูให้ดีว่าลูกค้ารายนั้นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือไม่ ส่วนเรื่องของเครดิตการชำระเงินก็ควรเช็กให้ดีก่อนจะดำเนินการในส่วนนี้

4 รู้สู่ค…

4 รู้สู่ความมั่งคั่ง ถ้ารู้ครบ ชีวิตดีแน่นอน!!

   
รู้หา : หาเงินเพิ่ม เสริมรายได้ (เงินเดือน + รายได้เสริม = รายได้เพิ่ม)
       
      “การหารายได้” คือ การใช้ความสามารถในการทำงาน ซึ่งหลายคนมีรายได้จากเงินเดือนเพียงช่องทางเดียว แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายังมีช่องทางในการหารายได้เพิ่มเติมจากงานอดิเรก หรือ อาชีพเสริมอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น การขายของออนไลน์ ที่เป็นเทรนด์ในขณะนี้ ถ้าวางแผนได้ดี งานอดิเรกก็จะช่วยสร้างรายได้เสริมและเพิ่มความสุขให้คุณได้แน่นอน

รู้เก็บ : เก็บออมก่อนใช้จ่าย (เงินได้ – เงินออม = เงินใช้)

       “การออมเงิน” มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตในอนาคต แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้จ่ายจนพอใจแล้ว จึงนำเงินส่วนที่เหลือไปออม ในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้หลายคนมีเงินออมไม่มากพอ  วิธีแก้ก็ง่าย ๆ เพียงแค่ปรับพฤติกรรมของตัวเอง ด้วย “สมการการออม” ทุกครั้งที่มีเงินได้ให้แบ่งเงินออมอย่างน้อย 10% หรือ มากกว่านั้นก็ยิ่งดี แล้วค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายตามที่ต้องการ

รู้ใช้ : ใช้เงินอย่างฉลาด สร้างโอกาสเพิ่มเงินออม

      “การใช้จ่าย” เพื่อตอบสนองความต้องการโดยไม่ยั้งคิด อาจทำให้มีปัญหาทางการเงินตามมา หากเรายึดตากกฎ 5 ประการ จะสามารถใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ตั้งงบก่อนใช้ เปรียบเทียบก่อนซื้อ สรุปใช้สม่ำเสมอ ใช้น้อยกว่าหาได้ และไม่ใช้ก็ไม่ซื้อ

รู้ขยายดอกผล : ลงทุนถูกที่ ความมั่งมีงอกเงย

       “การลงทุน” เปรียบเสมือนการเดินทางสู่ความมั่งคั่ง เพราะเป็นการนำเงินออมไปลงทุนในทางเลือกต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ พันธบัตร กองทุนรวม หรือ อสังหาริมทรัพย์ โดยเลือกให้เหมาะกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

ประกันรถย…

ประกันรถยนต์แต่ละชั้นต่างกันยังไง?

   ความหมายของแต่ละประเภท

  ชั้น 1  ให้ความคุ้มครองครอบคลุมที่สุด ทั้งรถของคุณเอง คู่กรณี และภัยธรรมชาติ
  ชั้น 2+ คุ้มครองรถของคู่กรณี รถหายไฟไหม้ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หากรถของคุณในกรณีที่ซื้อความคุ้มครองที่มีภัยธรรมชาติครอบคลุม
  ชั้น 3+ คุ้มครองรถของคู่กรณี และรถของคุณเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณี (อุบัติเหตุที่เกิดจากรถชนรถเท่านั้น)

รายละเอียดการคุ้มครอง

ชั้น 1

  • ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินบุคคลภายนอก
  • ความเสียหายต่อรถของคุณเอง (แม้ไม่มีคู่กรณี)
  • ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม, ไฟไหม้
  • รถหายหรือถูกโจรกรรม

ชั้น 2+

  • คุ้มครองคล้ายชั้น 1 แต่ไม่คุ้มครองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี
  • คุ้มครองภัยธรรมชาติและรถหาย

ชั้น 3+

  • คุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกและรถของคุณ เฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากรถชนรถเท่านั้น
  • ข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภท

ชั้น 1 คุ้มครองครบทุกด้าน แต่เบี้ยประกันแพงกว่า
ชั้น 2+ เหมาะสำหรับรถที่อายุ 5-10 ปี มีราคาถูกกว่าชั้น 1
ชั้น 3+ ราคาถูกที่สุด แต่มีข้อจำกัดในการคุ้มครอง

เหมาะกับใคร?

ชั้น 1 ผู้ที่มีรถใหม่หรือรถราคาสูง ต้องการความคุ้มครองแบบครอบคลุม

ชั้น 2+ ผู้ที่มีรถอายุ 5-10 ปี และต้องการคุ้มครองที่เหมาะสมกับค่าเบี้ย

ชั้น 3+ ผู้ที่ขับรถน้อย และเน้นประหยัดค่าเบี้ย

คำแนะนำในการเลือกประกันที่เหมาะสม พิจารณาจากการใช้งานรถ อายุรถ และงบประมาณลักษณะการใช้งาน เป็นคนขับรถเร็ว และเดินทางไกลเป็นประจำ แนะนำชั้น 1ขับรถไม่เกิน 2 คน แนะนำระบุผู้ขับขี่ ใช้รถน้อย ขับรถดี แนะนำ ชั้น 3+

ข้อแนะเพิ่มเติม ทำประกันอย่างน้อยๆควรเป็น ชั้น 3+ เผื่อคู่กรณีไม่มีประกัน และเป็นฝ่ายผิดขับมาชนรถเรา ยังมีประกันเราที่ครอบคลุมรถเราอยู่

มีที่ดินเ…

มีที่ดินเปล่า ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

     มีที่ดินเปล่าสามารถสร้างรายได้ได้หลากหลายทาง ในบทความนี้ ได้รวบรวมไอเดียพัฒนาที่ดินเปล่า เป็นแนวทางพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ในสมัยก่อน หลายๆ คนมักกว้านซื้อที่ดินเปล่าเก็บไว้ ไม่ว่าจะเพื่อเป็นมรดก หรือเพื่อเก็งกำไร รอวันที่ราคาที่ดินปรับตัว แต่กับปัจจุบัน ผู้ที่ได้มรดกหรือเป็นเจ้าของที่ดินเปล่า ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะที่ดินเปล่าต้องเสียภาษี

นั่นหมายความว่า นอกจากที่ดินเปล่าจะไม่ก่อประโยชน์แล้ว ผู้เป็นเจ้าของยังต้องเสียเงินให้กับรัฐด้วย และยิ่งมีพื้นที่เยอะเท่าไร ก็ยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้น เป็นที่มาว่า หลายๆ คนจึงพยายามพัฒนาที่ดินเปล่าเพื่อหารายได้ …แต่จะทำอะไรดีล่ะ?

คำตอบนั้นมีมากมาย คุณสามารถพัฒนาที่ดินของคุณให้สร้างรายได้ได้หลากหลายทาง ซึ่งในบทความนี้ ก็ได้รวบรวมไอเดียพัฒนาที่ดินเปล่ามาจำนวนหนึ่งให้คุณเลือกทำ หรือเลือกเป็นแนวทางพัฒนาที่ดินต่อไป

…แต่ก่อนที่จะไปดูไอเดียกัน คุณต้องรู้ก่อนว่าที่ดินของคุณเหมาะกับการทำอะไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

รู้จักที่ดินเปล่า 3 ประเภท

เพื่อที่จะพัฒนาที่ดินให้ได้ประโยชน์สูงสุด เราต้องมองที่ดินในฐานะของ “ทำเล” 

ลักษณะที่ดินที่แตกต่าง ต่างมีข้อได้เปรียบ มีโอกาส และข้อด้อยที่ต่างกัน หากรู้ว่าที่ดินเปล่าที่เรามีมีลักษณะอย่างไร ก็จะรู้ว่าควรทำอะไรกับที่ดินผืนนี้

ที่ดิน ก็แบ่งได้หลักๆ 3 ประเภทด้วยกัน

  • ที่ดินห่างไกล ไม่ติดถนน (ที่ดินตาบอด) เพราะถูกปิดล้อมด้วยที่ดินของผู้อื่น ทำให้ไม่มีทางเข้า-ออก สัญจรไม่ได้หรือลำบาก ลงทุนทำอะไรได้ไม่กี่อย่าง จึงทำให้ราคาที่ดินเปล่าประเภทนี้ค่อนข้างถูกมาก 
  • ที่ดินห่างไกล ติดถนน เข้า – ออกง่าย สัญจรสะดวก แต่ยังห่างไกลเมืองและผู้คน เป็นที่ดินที่มีราคามากกว่าที่ดินตาบอดมาอีกระดับ เพราะสามารถพัฒนาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง
  • ที่ดินในเมือง มีทางเข้า – ออก อยู่ในเมือง ทำให้มีคนพลุกพล่าน มีผู้คนสัญจรตลอด (Traffic) เป็นที่ดินที่ราคาสูงมาก ยิ่งประชากรในพื้นที่หนาแน่นและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ยังราคาสูง เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็น่าจะสร้างรายได้ได้สูง 

เมื่อรู้ว่าที่ดินเปล่าของคุณมีลักษณะแบบใดแล้ว ต่อไปเราจะไปดูกันว่าที่ดินของคุณเหมาะที่จะลงทุนทำอะไร ซึ่งก็มีหลากหลายไอเดียให้คุณเลือกทำตามทุนทรัพย์ กำลัง และความถนัดของคุณ 

ระวัง! 5 …

ระวัง! 5 พฤติกรรมเสี่ยงอันตรายที่คุณอาจมองข้าม

      การขับรถบนท้องถนน  เชื่อหรือไม่ว่า หลายท่านก็ทำผิดกฏของท้องถนนแล้ว ซึ่งสิ่งแรกที่หลายๆท่านมักลืมทำนั้นคือการขาดเข้มขัดนิรยภัย แต่ก็จริงที่ว่าการกระทำเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลร้ายแรงอะไรกับเพื่อนๆบนท้องถนน  มาดูวิธีหลบเลี่ยง 5 พฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน

1.จะเลี้ยวแต่ไม่เปิดไฟเลี้ยว   
    พฤติกรรมนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติเพื่อนๆบนท้องถนนเลย เพราะก่อนที่เราจะได้ขับรถจริงๆ ทุกคนต้องผ่านการฝึกขับขี่หรือการสอบใบขับขี่เป็นอย่างแน่นอน ซึ่งในบททดสอบนั้น ทุกๆคนอาจจำได้ว่า ก่อนที่เราจะเลี้ยว เราควรเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งเพื่อเตือนให้คนที่อยู่รอบข้างเรารู้ว่าเราจะทำการเลี้ยว ซึ่งการที่เราจะเลี้ยว ควรเปิดไฟเลี้ยว 30-50 เมตรก่อนที่เราจะเลี้ยวถึงจะปลอดภัยที่สุด

2.ขับช้าชิดขวา ขับเร็วแซงซ้าย  
   หลายครั้งที่เรามักพบเหตุการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นบนทางด่วน หรือท้องถนนปกติ เรามักเจอพวกที่ชอบขับรถชิลๆ เรื่อยๆ ไม่รีบ แต่ดันขับแช่ชิดขวา ซึ่งหลายครั้งที่เรากำลังรีบๆต้องมาเจอสิ่งๆนี้ กรณีที่คุณกำลังที่จะแซงคันด้านหน้าและต้องใช้ความเร็ว เพราะเลนขวาถูกระบุให้กฎของจราจรว่าเป็นเลนที่ใช้ในการแซงเท่านั้น

3.ไม่ชะลอหรือหยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย
   พฤติกรรมต่อไปที่ไม่ควรปล่อยให้ละเลยและเสี่ยงต่อการเกิดดราม่ามาก นั่นก็คือไม่ชะลอหรือไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ซึ่งเหตุนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ รถทุกคันควรเฝ้าดู และระวัดระวังเพื่อที่จะหยุดให้คนข้ามถนนก่อน เพราะกฎหมายระบุชัดเจนเลยว่า ให้ผู้ใช้รถต้องหยุดให้คนข้ามทางม้าลายก่อน โดยเมื่อเห็นทางม้าลายควรต้องชะลอความเร็ว ไม่ควรเร่งความเร็ว และห้ามแซงในระยะ 30 เมตร

4.ถุยน้ำลายหรือทิ้งเศษบุหรี่บนท้องถนน
   เชื่อว่าคุณคนที่ใช้ท้องถนนต้องเคยเจอ ไม่ว่าคุณจะขับรถหรือขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการถุยน้ำลายขณะขับรถ หรือ เจอคนสูบบุหรี่ที่ยื่นออกมานอกรถขณะที่ขับรถอยู่ นี่คือสิ่งที่เสี่ยงต่อผู้ที่ต้องใช้ถนนรวมกันเพราะนอกจะกลิ่นที่เป็นมลพิษแล้ว ใครที่ขี่จักรยานยนต์ผ่านจะต้องมาระวังสิ่งนี้ด้วย

5.รถกระบะขนของเยอะเกินกำหนด
    การที่เราเจอรถกระบะที่ขนของเกินขนาด ขอบอกเลยว่าการที่รถกระบะจะขนของไปในพื้นที่ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่การที่ขนของเกินขนาด สามารถทำให้เพื่อนรวมทางเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะสิ่งที่คุณขนมาอาจตกหรือหลนได้ตลอดเวลา ดังนั้นการที่ขนของไปมาควรมีข้อปฏิบัติดังนี้

  • หากทำการขนย้ายสิ่งของในเวลากลางวัน ควรติดธงสีแดง เรืองแสงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 45 เซนติเมตร แสดงเป็นสัญญาณให้รถคันหลังเห็นได้ชัดและระมัดระวังตัวได้

  • หากทำการขนย้ายสิ่งของในเวลากลางคืน หรือ ช่วงเวลาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรือเวลาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะ 150 เมตร ควรติดไฟสัญญาณสีแดงที่มองเห็นชัดเจนระยะ 150 เมตร

8 เรื่องค…

8 เรื่องควรรู้ก่อน "ออมทองออนไลน์"

      ราคาทองผันผวนสูง หลังแตะบาทละ 4 หมื่น นักเก็งกำไรควรศึกษาก่อนลงทุน โดยเฉพาะ 8 เรื่องควรรู้ก่อน “ออมทองออนไลน์” ที่ปัจจุบันเข้าถึงง่าย สามารถซื้อทองคำได้ในราคาขั้นต่ำ 150 บาท, 500 บาท แล้วแต่แอปพลิเคชันบนมือถือ

1.ดูราคาทองคำให้เป็น เพราะราคาซื้อ กับราคาขาย มีราคาไม่เท่ากัน ถ้าจะซื้อทอง ให้ดูราคาขาย ถ้าจะขายทอง ให้ดูราคาซื้อ

2.เงินขั้นต่ำในการออม แล้วแต่แพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชัน สามารถออมทีละน้อยได้ เช่น ขั้นต่ำ 150 บาท, 500 บาท สะสมเรื่อย ๆ

3.ปริมาณน้ำหนัก ทองแท่ง กับ ทองรูปพรรณ ไม่เท่ากัน โดยทองรูปพรรณน้ำหนัก 1 บาท มีปริมาณประมาณ 15.16 กรัม ส่วนทองคำแท่ง 1 บาท มีปริมาณ 15.244 กรัม

4.แต่ละแพลตฟอร์มจะมีค่าธรรมเนียมแตกต่างกัน ควรเปรียบเทียบก่อนลงทุน อย่างเช่น ค่าธรรมเนียม กรณีถอนทอง

  ถอนทองรูปพรรณ จะต้องเสีย ค่ากำเหน็จ (ค่าแรง 500-1,000 บาท) ขึ้นอยู่กับลักษณะทองที่ต้องการ เช่น แหวน, กำไล, สร้อยคอ และแพลตฟอร์ม

  ถอนทองแท่ง จะต้องเสีย ค่าบล็อก (150-500 บาท/ทองแท่ง 1 บาท) ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม

5.เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการโดยบริษัท หรือผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือ

6.หลีกเลี่ยงโอนเงินเข้าบัญชีบุคคล สังเกตบัญชีปลายทางควรเป็นชื่อบริษัท หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียน  เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน

7.เตือนภัย ! เจอออมทองแบบนี้ เสี่ยงเป็น “มิจฉาชีพ” ควรหลีกเลี่ยง อย่าหลงกล

  – โปรโมตว่า “รับเงินปันผลทุกสัปดาห์” แบบนี้หลอกลงทุนแน่นอน

  – มีการชักชวนให้หาสมาชิกเพิ่ม แบบนี้คือ “แชร์ลูกโซ่” แน่นอน

8.รู้ข้อดี – ข้อเสีย ออมทองออนไลน์ สรุปสั้น ๆ คือ

  ข้อดี : ซื้อขายในราคาเรียลไทม์ได้ ถอนเป็นทองคำหรือเงินสดได้ ส่วนใหญ่นักสะสมทองนิยมถอนเป็น “ทองแท่ง” เพราะเจอค่าเจอค่าธรรมเนียมน้อยกว่า และขายง่ายกว่า “ทองรูปพรรณ”

  ข้อเสีย : การออมทอง ไม่มีดอกเบี้ยเงินฝาก ราคาทองผันผวนสูง เสี่ยงขาดทุนได้ ควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุน